26.9.52

มองหา Bank Rounting Number

ก่อนอื่นลองหาดูว่าคุณมีใบเช็คในมือหรือไม่ (ถ้าไม่มีลองขอยืมคนข้างบ้านดูไปก่อน) ซึ่งปกติแล้วจะแสดงด้านล่างของเช็ค (ดูให้แน่ใจว่าใบเช็ค ไม่ใช่ใบถอนเงิน) หาสัญลักษณ์แบบนี้

ขั้นแรกหา Bank Rounting Number โดยปกติหมายเลข Bank Rounting Number จะมีทั้งหมด 9 หลัก โดยเลขจะอยู่ระหว่างสัญลักษณ์

ต่อไปหาหมายเลขสำหรับตรวจสอบ Check Number ซึ่งจะมีทั้งหมด 4 หลัก และมีเลข 0 ขึ้นต้นเสมอ

สุดท้ายชุดหมายเลขที่เหลือคือ หมายเลขบัญชี Account Number ซึ่งจะแสดงก่อนสัญลักษณ์


รูปตัวอย่างใบเช็ค



รูปขยายให้เห็นชัดเจน

บางคนอาจบอกว่ามีตัวเลขมากกว่านี้ ซึ่งเป็นไปได้ครับ (ในใจคิด โล่งอกนึกว่าของปลอม) เนื่องจากว่าใบเช็คแบ่งออกเป็น เช็คสำหรับส่วนบุคคล และเป็นเช็คสำหรับธุรกิจ เหมือนรูปตัวอย่าง



เรื่องน่ารู้ Bank Routing Number บางครั้งคุณอาจเคยได้ยินหรือเห็นคำเหล่านี้ เช่น RTN, Routing transit number, ABA เป็นต้น คำเหล่านี้มีความหมายเช่นเดียวกัน

บทความอ้างอิง
ไฟล์ที่เกี่ยวข้อง
หรือ

13.9.52

จากเมนเฟรม...สู่เซิร์ฟเวอร์ ปฏิวัติการอินทิเกรตระบบของแบงก์ชาติ

ยิ่งปริมาณธุรกรรมมากขึ้นเท่าใด อุปกรณ์ประมวลผลก็ต้องรองรับได้มากขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น จากเซิร์ฟเวอร์กลายเป็นเมนเฟรม จากเมนเฟรมเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แต่สำหรับแบงก์ชาติ สถาบันการเงินของไทยที่ธุรกรรมมีมูลค่าสูงสุด การอินทิเกรตระบบเพื่อรองรับงานระดับประเทศได้นั้น จะเลือกใช้วิธีแบบใด อะไรคือความจริงเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการเงิน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คุณต้องรู้


ยิ่งปริมาณธุรกรรมมากขึ้นเท่าใด อุปกรณ์ประมวลผลก็ต้องรองรับได้มากขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น จากเซิร์ฟเวอร์กลายเป็นเมนเฟรม จากเมนเฟรมเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แต่สำหรับแบงก์ชาติ สถาบันการเงินของไทยที่ธุรกรรมมีมูลค่าสูงสุด การอินทิเกรตระบบเพื่อรองรับงานระดับประเทศได้นั้น จะเลือกใช้วิธีแบบใด อะไรคือความจริงเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการเงิน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คุณต้องรู้

แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ “แบงก์ชาติ” นั้นจะมีฐานะเป็นธนาคารกลางของชาติ เป็นนายธนาคารของรัฐบาลและสถาบันการเงินทั้งหลาย จำนวนเงินที่ผ่านระบบของแบงก์ชาติในแต่ละวันมีมูลค่ามหาศาลหลายแสนล้านบาทก็ ตาม แบงก์ชาติก็มิได้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่อย่างธนาคารทั่วไป หากใช้ระบบประมวลผลแบบกระจายแทน และจากแผนกลยุทธ์ไอทีของแบงก์ชาติที่มีเป้าหมายเพื่อรวมระบบที่กระจายอยู่ ตามหน่วยงานต่างๆ เข้าด้วยกันให้เป็นหนึ่งเดียวนั้น คุณเสาวณี สุวรรณชีพ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ด้านระบบข้อสนเทศ และ ดร. ฉิม ตันติยาสวัสดิกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ให้เกียรติเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างการอินทิเกรตระบบของแบงก์ ชาติให้กับนิตยสาร eLeader

ใช้ระบบประมวลผลแบบกระจาย

ปกติแล้วเทคโนโลยีสารสนเทศที่ธนาคารส่วนใหญ่เลือกใช้จะคล้ายคลึงกัน สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็มีทั้งระบบปฏิบัติการวินโดวส์และยูนิกซ์ ส่วนฐานข้อมูลใช้ออราเคิล ผ่านเครือข่ายแบบแลน แต่กลับไม่มีเมนเฟรมคอมพิวเตอร์เหมือนกับธนาคารทั่วไป เรื่องนี้ท่านทั้งสองให้รายละเอียดไว้ว่า สมัยก่อนประมาณสิบกว่าปีมาแล้ว แบงก์ชาติใช้เมนเฟรมรุ่น Sperry 1100, UNISYS 1100 และ IBM 9370 ต่อมาได้ยกเลิกการใช้งานไปในสมัย ดร. ปัญญา เปรมปรีดิ์ ซึ่งท่านเป็นผู้อำนวยการฝ่ายไอทีสมัยนั้น เหตุที่เลิกใช้เพราะเรื่องของค่าใช้จ่ายด้านค่าเช่าที่ค่อนข้างสูง และต้องการขยายการใช้ไอทีไปสู่ส่วนต่างๆ ของแบงก์ชาติให้มากขึ้น และจากแนวคิดของดร.ปัญญา เกี่ยวกับระบบประมวลผลแบบกระจายหรือ Distributed Processing ทำให้แบงก์ชาติเริ่มปรับเปลี่ยนเป็นระบบประมวลผลแบบกระจายและตอนนั้น เทคโนโลยีแลนเริ่มมีบทบาทเข้ามา แบงก์ชาติจึงนำพีซีไคลเอ็นต์เข้ามาใช้ในระบบแลน เนื่องจากงานของแบงก์ชาติไม่เหมือนแบงก์พาณิชย์ ซึ่งมีปริมาณธุรกรรมมาก (High Volume) เนื่องจากมีจำนวนลูกค้ามาก แต่ธุรกรรมหนึ่งๆ มีมูลค่าน้อย (Low Value) ส่วนของแบงก์ชาตินั้นมีปริมาณธุรกรรมน้อย (Low volume) เนื่องจากลูกค้ามีเฉพาะส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ แบงก์พาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ ซึ่งมีจำนวนไม่มาก แต่ธุรกรรมหนึ่งๆ เป็นจำนวนเงินมูลค่าสูง (High Value) เช่น โอนเงินจำนวนพันหรือหมื่นล้านบาท ระบบแลน จึงสามารถรองรับได้ การใช้ระบบแลนมีข้อดีคือ พัฒนาระบบง่ายและเร็ว อีกทั้งรองรับความต้องการของผู้ใช้ระดับปฏิบัติงานได้เร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อเสียคือ ระบบกระจัดกระจายยังไม่สามารถอินทิเกรต เชื่อมต่อข้อมูลต่างๆ เข้ากันได้

เป้าหมายมุ่งอินทิเกรชัน
 
“หัวใจของ BAHTNET/2” คุณฉิมตัน ติยาสวัสดิกุล กับเครื่องเซิร์ฟเวอร์หลัก (Production) ของเครือข่าย BAHTNET/2
 
แบงก์ชาติมีเป้าหมายในแผนกลยุทธ์เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างชัดเจนว่า ระบบงานที่พัฒนาขึ้นมาต้องไม่แตกแยก กระจัดกระจาย ต่างสายงานต่างสร้างระบบของตนเอง แต่ละระบบไม่สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ไม่สามารถป้อนข้อมูลเข้าอีกระบบได้อีกต่อไป นั่นคือกำหนดว่าในอนาคตระบบของแบงก์ชาติต้องอินทิเกรต เชื่อมโยงข้อมูลกันได้ในหลายระดับไม่ว่าจะเป็นแอพพลิเคชัน ข้อมูล เครือข่าย หรือโครงสร้างพื้นฐาน เพราะฉะนั้นในการวางตัวโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครือข่ายหรืออุปกรณ์ที่เอาเข้ามาใช้ แบงก์ชาติจะกำหนดแนวคิดของการที่มีเครือข่ายเดียวกันภายในธนาคารที่จะให้ ข้อมูลส่งผ่านไปมาระหว่างกันได้ และการพัฒนาแอพพลิเคชันก็ต้องมองเป็นกลุ่มงานที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน มากกว่าที่จะมองว่าสร้างงานย่อยๆ ขึ้นมา คุณเสาวณีกล่าวว่า “อย่างกลุ่มโครงการกลยุทธ์ไอที 7 กลุ่ม ในกลุ่มโครงการที่ 1 จะดูเรื่องของ Enterprise Knowledge Management Portal ซึ่งประกอบด้วยงานการสร้างฐานข้อมูล (Data Management Systems) และเรื่องของการทำ Enterprise Knowledge Management Strategy ซึ่งครอบคลุมองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ ไว้ให้ครบถ้วนในที่เดียวกันและสะดวกใช้ เพราะฉะนั้นแต่ละกลุ่มงาน ผู้ที่เกี่ยวข้องในฐานะที่เป็นผู้สร้างผู้ใช้ จะต้องใช้ข้อมูลระหว่างกันได้ ข้อมูลจะต้องมีความสัมพันธ์กันที่สามารถจะเรียกดูได้ทุกระดับ ตั้งแต่พนักงาน ระดับปฏิบัติการ ไปจนกระทั่งถึงระดับบริหาร ในส่วนกลุ่มโครงการ Enterprise Knowledge Management Portal สามารถให้ข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านสถาบันการเงิน และทางด้านตลาดการเงิน กับส่วนงานภายในธนาคารแห่งประเทศไทยเอง รวมถึงสถาบันการเงินหรือและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง ฯลฯ ด้วย” (ดูรายละเอียดกลุ่มโครงการต่างๆ ได้จากนิตยสาร eLeader เดือนกันยายน)


รวมระบบการโอนเงินด้วย BAHTNET

BAHTNET หรือ Bank-of-thailand Automated High-value Transfer NETwork เป็นเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการรับส่งเมสเซจระหว่างแบงก์ชาติกับ สถาบันการเงินและองค์กรต่างๆ ที่มีบัญชีเงินฝากกับแบงก์ชาติ เพื่อประโยชน์สำหรับการโอนเงินรายใหญ่ และการส่งมอบและชำระตราสารหนี้ที่แบงก์ชาติเป็นนายทะเบียนอยู่ผ่านบัญชีที่ แบงก์ชาติ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงในระบบการชำระเงิน เพื่อให้การโอนเงิน การโอนตราสารหนี้ และการติดต่อธุรกิจทางการเงินเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็วและปลอดภัย และเพื่อเสถียรภาพทางการเงินนั่นเอง

ก่อนที่แบงก์ชาติจะเริ่มมีระบบ BAHTNET นั้น การโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินจะใช้เช็คเป็นสื่อการชำระเงิน ซึ่งผู้รับเช็คจะได้รับเงินล่าช้าเนื่องจากต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน แบงก์ชาติจึงได้ริเริ่มพัฒนาระบบ BAHTNET ขึ้นในปี พ.ศ. 2538 โดยมุ่งหวังให้เป็นสาธารณูปโภคทางการเงินสำหรับการโอนเงินระหว่างสถาบันการ เงินและสถาบันอื่น รวมถึงส่วนราชการที่มีบัญชีเงินฝากที่แบงก์ชาติ (Interbank Funds Transfer) และการโอนเงินเพื่อลูกค้าหรือบุคคลที่สาม (Third Party Funds Transfer) ทั้งนี้เพื่อให้สามารถสั่งโอนเงินผ่านคอมพิวเตอร์ในสำนักงานของตน โดยไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางนำเช็คมาที่ศูนย์หักบัญชีอิเล็กทรอนิกส์หรือ นำเช็คไปฝากที่ แบงก์ชาติ อีกทั้งผู้รับเงินก็จะได้รับเงินเข้าบัญชีของตนในทันทีด้วย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงินได้ นอกจากนี้ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2544 แบงก์ชาติได้พัฒนาระบบ BAHTNET ไปสู่เวอร์ชันที่ 2 ของระบบหรือ BAHTNET/2 ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยได้นำเครือข่าย SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) มาใช้เป็นช่องทางหลักในการรับส่งเมสเสจระหว่างผู้ใช้บริการ BAHTNET กับแบงก์ชาติ

การพัฒนา BAHTNET/2 ต่อไปในอนาคตนั้น จะขยายการโอนเงินไปสู่เงินสกุลอื่นๆ ในลักษณะที่เรียกว่า Payment versus Payment การโอนตราสารหนี้ที่ตอนนี้มีเฉพาะพันธบัตรภาครัฐก็จะขยายไปครอบคลุมตราสาร หนี้ภาคเอกชน ซึ่งจะต้องประสานงานกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ต่อไป ส่วนการเชื่อมโยงจะเชื่อมโยงระบบการชำระเงินรายใหญ่ไปต่างประเทศ

บทความอ้างอิง
ไฟล์ที่เกี่ยวข้อง
หรือ