
แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ “แบงก์ชาติ” นั้นจะมีฐานะเป็นธนาคารกลางของชาติ เป็นนายธนาคารของรัฐบาลและสถาบันการเงินทั้งหลาย จำนวนเงินที่ผ่านระบบของแบงก์ชาติในแต่ละวันมีมูลค่ามหาศาลหลายแสนล้านบาทก็ ตาม แบงก์ชาติก็มิได้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่อย่างธนาคารทั่วไป หากใช้ระบบประมวลผลแบบกระจายแทน และจากแผนกลยุทธ์ไอทีของแบงก์ชาติที่มีเป้าหมายเพื่อรวมระบบที่กระจายอยู่ ตามหน่วยงานต่างๆ เข้าด้วยกันให้เป็นหนึ่งเดียวนั้น คุณเสาวณี สุวรรณชีพ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ด้านระบบข้อสนเทศ และ ดร. ฉิม ตันติยาสวัสดิกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ให้เกียรติเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างการอินทิเกรตระบบของแบงก์ ชาติให้กับนิตยสาร eLeader
ใช้ระบบประมวลผลแบบกระจาย
ปกติแล้วเทคโนโลยีสารสนเทศที่ธนาคารส่วนใหญ่เลือกใช้จะคล้ายคลึงกัน สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็มีทั้งระบบปฏิบัติการวินโดวส์และยูนิกซ์ ส่วนฐานข้อมูลใช้ออราเคิล ผ่านเครือข่ายแบบแลน แต่กลับไม่มีเมนเฟรมคอมพิวเตอร์เหมือนกับธนาคารทั่วไป เรื่องนี้ท่านทั้งสองให้รายละเอียดไว้ว่า สมัยก่อนประมาณสิบกว่าปีมาแล้ว แบงก์ชาติใช้เมนเฟรมรุ่น Sperry 1100, UNISYS 1100 และ IBM 9370 ต่อมาได้ยกเลิกการใช้งานไปในสมัย ดร. ปัญญา เปรมปรีดิ์ ซึ่งท่านเป็นผู้อำนวยการฝ่ายไอทีสมัยนั้น เหตุที่เลิกใช้เพราะเรื่องของค่าใช้จ่ายด้านค่าเช่าที่ค่อนข้างสูง และต้องการขยายการใช้ไอทีไปสู่ส่วนต่างๆ ของแบงก์ชาติให้มากขึ้น และจากแนวคิดของดร.ปัญญา เกี่ยวกับระบบประมวลผลแบบกระจายหรือ Distributed Processing ทำให้แบงก์ชาติเริ่มปรับเปลี่ยนเป็นระบบประมวลผลแบบกระจายและตอนนั้น เทคโนโลยีแลนเริ่มมีบทบาทเข้ามา แบงก์ชาติจึงนำพีซีไคลเอ็นต์เข้ามาใช้ในระบบแลน เนื่องจากงานของแบงก์ชาติไม่เหมือนแบงก์พาณิชย์ ซึ่งมีปริมาณธุรกรรมมาก (High Volume) เนื่องจากมีจำนวนลูกค้ามาก แต่ธุรกรรมหนึ่งๆ มีมูลค่าน้อย (Low Value) ส่วนของแบงก์ชาตินั้นมีปริมาณธุรกรรมน้อย (Low volume) เนื่องจากลูกค้ามีเฉพาะส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ แบงก์พาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ ซึ่งมีจำนวนไม่มาก แต่ธุรกรรมหนึ่งๆ เป็นจำนวนเงินมูลค่าสูง (High Value) เช่น โอนเงินจำนวนพันหรือหมื่นล้านบาท ระบบแลน จึงสามารถรองรับได้ การใช้ระบบแลนมีข้อดีคือ พัฒนาระบบง่ายและเร็ว อีกทั้งรองรับความต้องการของผู้ใช้ระดับปฏิบัติงานได้เร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อเสียคือ ระบบกระจัดกระจายยังไม่สามารถอินทิเกรต เชื่อมต่อข้อมูลต่างๆ เข้ากันได้
เป้าหมายมุ่งอินทิเกรชัน

“หัวใจของ BAHTNET/2” คุณฉิมตัน ติยาสวัสดิกุล กับเครื่องเซิร์ฟเวอร์หลัก (Production) ของเครือข่าย BAHTNET/2
แบงก์ชาติมีเป้าหมายในแผนกลยุทธ์เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างชัดเจนว่า ระบบงานที่พัฒนาขึ้นมาต้องไม่แตกแยก กระจัดกระจาย ต่างสายงานต่างสร้างระบบของตนเอง แต่ละระบบไม่สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ไม่สามารถป้อนข้อมูลเข้าอีกระบบได้อีกต่อไป นั่นคือกำหนดว่าในอนาคตระบบของแบงก์ชาติต้องอินทิเกรต เชื่อมโยงข้อมูลกันได้ในหลายระดับไม่ว่าจะเป็นแอพพลิเคชัน ข้อมูล เครือข่าย หรือโครงสร้างพื้นฐาน เพราะฉะนั้นในการวางตัวโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครือข่ายหรืออุปกรณ์ที่เอาเข้ามาใช้ แบงก์ชาติจะกำหนดแนวคิดของการที่มีเครือข่ายเดียวกันภายในธนาคารที่จะให้ ข้อมูลส่งผ่านไปมาระหว่างกันได้ และการพัฒนาแอพพลิเคชันก็ต้องมองเป็นกลุ่มงานที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน มากกว่าที่จะมองว่าสร้างงานย่อยๆ ขึ้นมา คุณเสาวณีกล่าวว่า “อย่างกลุ่มโครงการกลยุทธ์ไอที 7 กลุ่ม ในกลุ่มโครงการที่ 1 จะดูเรื่องของ Enterprise Knowledge Management Portal ซึ่งประกอบด้วยงานการสร้างฐานข้อมูล (Data Management Systems) และเรื่องของการทำ Enterprise Knowledge Management Strategy ซึ่งครอบคลุมองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ ไว้ให้ครบถ้วนในที่เดียวกันและสะดวกใช้ เพราะฉะนั้นแต่ละกลุ่มงาน ผู้ที่เกี่ยวข้องในฐานะที่เป็นผู้สร้างผู้ใช้ จะต้องใช้ข้อมูลระหว่างกันได้ ข้อมูลจะต้องมีความสัมพันธ์กันที่สามารถจะเรียกดูได้ทุกระดับ ตั้งแต่พนักงาน ระดับปฏิบัติการ ไปจนกระทั่งถึงระดับบริหาร ในส่วนกลุ่มโครงการ Enterprise Knowledge Management Portal สามารถให้ข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านสถาบันการเงิน และทางด้านตลาดการเงิน กับส่วนงานภายในธนาคารแห่งประเทศไทยเอง รวมถึงสถาบันการเงินหรือและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง ฯลฯ ด้วย” (ดูรายละเอียดกลุ่มโครงการต่างๆ ได้จากนิตยสาร eLeader เดือนกันยายน)
รวมระบบการโอนเงินด้วย BAHTNET
BAHTNET หรือ Bank-of-thailand Automated High-value Transfer NETwork เป็นเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการรับส่งเมสเซจระหว่างแบงก์ชาติกับ สถาบันการเงินและองค์กรต่างๆ ที่มีบัญชีเงินฝากกับแบงก์ชาติ เพื่อประโยชน์สำหรับการโอนเงินรายใหญ่ และการส่งมอบและชำระตราสารหนี้ที่แบงก์ชาติเป็นนายทะเบียนอยู่ผ่านบัญชีที่ แบงก์ชาติ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงในระบบการชำระเงิน เพื่อให้การโอนเงิน การโอนตราสารหนี้ และการติดต่อธุรกิจทางการเงินเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็วและปลอดภัย และเพื่อเสถียรภาพทางการเงินนั่นเอง
ก่อนที่แบงก์ชาติจะเริ่มมีระบบ BAHTNET นั้น การโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินจะใช้เช็คเป็นสื่อการชำระเงิน ซึ่งผู้รับเช็คจะได้รับเงินล่าช้าเนื่องจากต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน แบงก์ชาติจึงได้ริเริ่มพัฒนาระบบ BAHTNET ขึ้นในปี พ.ศ. 2538 โดยมุ่งหวังให้เป็นสาธารณูปโภคทางการเงินสำหรับการโอนเงินระหว่างสถาบันการ เงินและสถาบันอื่น รวมถึงส่วนราชการที่มีบัญชีเงินฝากที่แบงก์ชาติ (Interbank Funds Transfer) และการโอนเงินเพื่อลูกค้าหรือบุคคลที่สาม (Third Party Funds Transfer) ทั้งนี้เพื่อให้สามารถสั่งโอนเงินผ่านคอมพิวเตอร์ในสำนักงานของตน โดยไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางนำเช็คมาที่ศูนย์หักบัญชีอิเล็กทรอนิกส์หรือ นำเช็คไปฝากที่ แบงก์ชาติ อีกทั้งผู้รับเงินก็จะได้รับเงินเข้าบัญชีของตนในทันทีด้วย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงินได้ นอกจากนี้ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2544 แบงก์ชาติได้พัฒนาระบบ BAHTNET ไปสู่เวอร์ชันที่ 2 ของระบบหรือ BAHTNET/2 ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยได้นำเครือข่าย SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) มาใช้เป็นช่องทางหลักในการรับส่งเมสเสจระหว่างผู้ใช้บริการ BAHTNET กับแบงก์ชาติ
การพัฒนา BAHTNET/2 ต่อไปในอนาคตนั้น จะขยายการโอนเงินไปสู่เงินสกุลอื่นๆ ในลักษณะที่เรียกว่า Payment versus Payment การโอนตราสารหนี้ที่ตอนนี้มีเฉพาะพันธบัตรภาครัฐก็จะขยายไปครอบคลุมตราสาร หนี้ภาคเอกชน ซึ่งจะต้องประสานงานกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ต่อไป ส่วนการเชื่อมโยงจะเชื่อมโยงระบบการชำระเงินรายใหญ่ไปต่างประเทศ
บทความอ้างอิง
- จากเมนเฟรม...สู่เซิร์ฟเวอร์ ปฏิวัติการอินทิเกรตระบบของแบงก์ชาติ
- เชื่อมโยงผ่าน SWIFT และเว็บ
- Introduction to SWIFT
- http://www.easy-share.com/1907745512/bahtnet.pdf
- http://www.easy-share.com/1907745513/BAHTNET%20official%20Opening_T.pdf
- http://www.easy-share.com/1907745515/bahtnet_scib.pdf














ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น